สินค้ารวม : 0 บาท ไปที่ตะกร้าสินค้า

โปรโมชั่น : ยอด 650 บาท ฟรีค่าจัดส่ง (ยกเว้นกล่อง)

Google Ads Series ตอนที่ 4 : ชวนรู้จักทุกกลยุทธ์ในการตั้งราคา Bidding

ตอนที่ 4
: ชวนท่านมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับกลยุทธ์การ Bid ปีนี้ ทั้ง 11 กลยุทธ์

      มาถึงตอนที่ 4 ของ Series Google Ads หากท่านใดยังไม่ได้อ่าน ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3 ทางเราแนะนำให้ท่านไปอ่านเพื่อปูพื้นฐานก่อนเข้าตอนที่ 4 ก่อนครับ สำหรับตอนที่ 4 นับว่าเป็นหลักสำคัญที่คนทำ Ads ต่างก็มึนงง เพราะ Google Ads มีตัวเลือกให้เราตั้งกลยุทธ์มากถึง 11 ตัว ซึ่งแบบไหนจะเป็นที่เหมาะสมที่สุดที่เราควรจะเลือกใช้ ซึ่งแน่นอนว่า มันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการทำ Ads ของเรา ไม่มีกลยุทธ์ตัวไหนที่ดีที่สุด มีแต่เหมาะสมที่สุดเพราะฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกันเพื่อที่ท่านผู้่อ่านจะได้รู้ว่าแบบได้เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำ Ads ของท่านเอง


      มาดูกันว่าทั้ง 11 กลยุทธ์การตั้งราคา Bid ของ Google Ads จะมีอะไรบ้างอัพเดทปี 2020-2021


1. Target CPA (Cost Per Acquisition)

2. Target ROAS (Return On Ad Spend)

3. Maximize Conversions

4. Maximize Conversion Value

5. Enhanced Cost Per Click (ECPC)

6. Maximize Clicks

7. Manual CPC Bidding

8. CPM Bidding (Cost Per Thousand Impressions)

9. CPM Bidding (Cost Per Viewable Thousand Impressions)

10. CPV Bidding, (Cost Per View)

11. Target Impression Share Bidding

      จะเห็นได้ว่าทั้ง 11 ตัวเลือกแค่เห็นชื่อก็ชวนให้สับสนเอามากๆ ก่อนเราจะไปทำความรู้จักกับแต่ละกลยุทธ์เรามาดูวิธีการตั้งค่า Bid กันก่อนซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่รู้ต้องเข้าไปตั้งค่าที่ตรงไหน



วิธีตั้งค่ากลยุทธ์ Bid

ขั้นตอนที่ 1.)

ขั้นตอนที่ 2.)

ขั้นตอนที่ 3.)

ขั้นตอนที่ 4.)

ขั้นตอนที่ 5.)


กลยุทธ์ที่ 1 : Target CPA

      อธิบาย : กลยุทธ์ Target Cost per Acquisition เป็นกลยุทธ์ที่เราจะตั้งค่าเมื่อเราตั้งการ Conversion มากที่สุดในงบประมาณที่เราตั้งไว้ โดย AI ของ Google จะพยายามหากลุ่มลูกค้าที่คาดว่าจะมี Conversion มากที่สุด ซึ่งการตั้งกลยุทธ์ดังกล่าวเราจะต้องให้ระบบของ Google เก็บข้อมูล Conversion บน Account ในช่วงหนึ่งก่อนถึงจะเหมาะสมที่จะต้องกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้

      ยกตัวอย่างการใช้งาน : หากเราตั้งค่า 1 Conversion คือ 1 คำสั่งซื้อของเรา ซึ่งเรามีข้อมูลว่า 1 คำสั่งซื้อประมาณ 1,000 บาท และเราตั้งงบการตลาดที่ 100 บาทต่อ 1 คำสั่งซื้อ เราก็ตั้งค่าให้ Cost per Acquisition = 100 บาท ระบบของ Google จะคำนวณค่า Conversion ในต้นทุนดังกล่าวให้กับเรา


กลยุทธ์ที่ 2 : Target ROAS

      อธิบาย : กลยุทธ์ที่สองนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ชวนมึนงงกันเล็กน้อย การใส่ค่าของ Ads ชนิดนี้อาจจะต้องมีการคำนวณเล็กน้อย โดยกลยุทธ์นี้มีหลักการประมาณว่า สำหรับทุก 30 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับโฆษณา คุณจะตั้ง ROAS เป้าหมายเป็น 500% ซึ่งหมายความว่าสำหรับทุก 30 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับโฆษณา คุณต้องการที่จะได้รายได้เป็น 5 เท่า หรือถ้าพูดอย่างเข้าใจคือ จ่าย 30 บาท ได้ Return 150 บาท จากนั้นระบบของ Google Ads จะกําหนดราคา Cost per Click สูงสุดให้คุณโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มมูลค่า Conversion ให้ได้สูงสุด ขณะพยายามไปให้ถึง ROAS เป้าหมายที่ 500%

      วิธีการคำนวณ ROAS : ยอดขาย ..ที่ต้องการ บาท ÷ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ..ที่เราวางเอาไว้.. บาท x 100% = ROAS x 100 จะเท่ากับเป้าหมายหน่วย %


กลยุทธ์ที่ 3 : Maximize Conversions

      อธิบาย : หลักการง่ายๆของกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ การตั้งค่าให้ระบบหาจำนวน Conversions มากที่สุด ภายใต้ Budget ที่กำหนดของแต่ละ Campaign ซึ่งทุกกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับ Conversion เราจำเป็นต้องแปะ Conversion Tracking Code ไปบนเว็บไซต์ของเราเสียก่อน

      ยกตัวอย่างการใช้งาน : หลังจากที่เรา Run Ads โดยใช้กลยุทธ์ที่เน้นไปในทาง Click ช่วงเริ่มต้น ให้ระบบจะจับได้ว่าแต่ละวันเรามี Conversion เกิดขึ้น และเปลี่ยนกลยุทธ์ จนระบบมีข้อมูลแนะนำให้เราว่าหากเราเลือก หากต้องการให้มี Conversion 50 หน่วยต่อวัน เราควรที่จะต้องใช้งบเท่าไหร่


กลยุทธ์ที่ 4 : Maximize Conversion Value

      อธิบาย : ก่อนที่จะใช้กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ได้ เราจำเป็นต้องกำหนดว่า 1 Conversion เรามีมูลค่าเท่าไหร่ โดยหลักการของกลยุทธ์แบบดังกล่าวก็คือ การกำหนดไปว่า ให้ระบบของ Google เพิ่มมูลค่าต่อ 1 Conversion ตามที่เราได้กำหนดไว้ให้ได้


กลยุทธ์ที่ 5 : Enhanced Cost Per Click

      อธิบาย : โดยการจะตั้งค่ากลยุทธ์แบบ Enhanced CPC ระบบจะให้เราตั้งค่า Max Cost Per Click ซึ่งยกตัวอย่างหากเราตั้งไว้ที่ 50 บาท ในช่วงเวลาปกติ ต้นทุน Cost Per Click อาจจะแค่ 25 บาท แต่หากระบบจับสัญญาณได้ว่ามีบางช่วงเวลา มีบางสถานที่ เจอกลุ่มคนที่จะคลิก โดยการแสดง Ads ในที่นั้นหรือเวลาเราอาจจะไม่ได้เป็นที่ 1 (โอกาสคนคลิกน้อย) ระบบจะเพิ่มค่า Bid ขึ้นเพื่อให้เรามีโอกาสมากที่สุดในงบประมาณ Max ที่เราตั้งเอาไว้ให้มีตำแหน่งดี เพื่อมีโอกาสให้คนคลิกมากที่สุด


กลยุทธ์ที่ 6 : Maximize Clicks

      อธิบาย : การตั้งค่าแบบดังกล่าวจะเป็นวิธีการให้ระบบทำงานแบบ Automated Bidding โดยระบบจะทำการตั้งราคาที่ต่ำที่สุด เพื่อให้เกิดจำนวนคลิกเข้ามามากที่สุด โดยการตั้งค่ากลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ เราสามารถตั้ง Max Cost Per Click ได้เช่นกัน


กลยุทธ์ที่ 7 : Manual CPC Bidding

      อธิบาย : หลักการง่ายๆเลยของกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ การที่เราตั้งราคาที่เรายอมจ่ายต่อคลิก ซึ่งการใช้กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ ทางจำเป็นต้องมีข้อมูลการแข่งขันใน Keyword ของเรา จึงจะทำให้การใช้กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพดีที่สุด


กลยุทธ์ที่ 8 : CPM Bidding (Cost Per Thousand Impressions)

      อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads ซึ่งยกตัวอย่างง่ายๆว่า ใน 1000 การแสดง โฆษณา Video บน Youtube เราจะยอมจ่ายเท่าใด


กลยุทธ์ที่ 9 : CPM Bidding (Viewable Thousand Impressions)

      อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads เช่นกัน ซึ่งยกตัวอย่างง่ายๆว่า ใน 1000 ยอดคนที่ดเกิน 2 วินาที ของโฆษณา Video บน Youtube เราจะยอมจ่ายเท่าใด


กลยุทธ์ที่ 10 : CPV Bidding, (Cost Per View)

      อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads ซึ่งเราจะกำหนดได้ว่า จะยอมจ่ายเท่าไหร่ต่อจำนวน 1 ผู้ชม Ads โฆษณา Video ของเรา


กลยุทธ์ที่ 11 : Target Impression Share Bidding

      อธิบาย : หลักการของการเลือกกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ หากเรากำหนดค่า ที่ 90% ระบบก็จะพยายามแสดงโฆษณาเราใน Keyword นั้นๆให้ได้มากว่า 90% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งใน Keyword เดียวกัน


วัตถุประสงค์ของแต่ละกลยุทธ์

      อธิบาย : ในหัวข้อนี้จะพาไปรู้จักวัตถุประสงค์ของการทำการตลาดซึ่งโดยกลุ่มใหญ่ๆจะประกอบไปด้วย Awareness (ช่วงดึงดูดความสนใจ) และช่วงที่สอง Consideration (ช่วงการพิจารณา สนใจซื้อ) และช่วงสุดท้ายคือ Conversion (มีการซื้อขายเกิดขึ้น) ซึ่งรูปกรวยหัวกลับก็คือในช่วงสนใจมีคนสนใจเข้ามาดูเยอะ และลดลงไปเรื่อยๆตามลำดับ ซึ่งการเลืิอกกลยุทธ์แต่ละตัวก็ควรที่จะให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงด้วย


การตั้งค่าเสริมให้ตรงกลุ่มลูกค้าของแต่ละกลยุทธ์

      อธิบาย : หนึ่งในเคล็ดลับที่จะทำให้เจอลูกค้าที่แปลงกลับมาเป็นยอดขายมากที่สุดก็คือการตั้งค่าเสริมเช่นตั้งเวลาที่ Ads แสดง, ตั้งว่าให้แสดงใน Device อะไร, หรือตั้งความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์บางกลยุทธ์อาจจะไม่สามารถทำให้เราตั้งค่าเสริมดังกล่าวได้ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ดังตารางข้างต้น


- จบแล้ว -

      ข้อแนะนำ : นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของการทำ Ads เราที่เป็นตัวกำหนดว่าเราควรจะตั้งกลยุทธ์แบบใดแล้ว ช่วงเวลาก็สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มต้นเราจจะตั้งอีก 1 กลยุทธ์ พอระบบของ Google มีข้อมูลลูกค้าเราพอแล้วเราก็อาจจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ประสิทธิภาพของการตั้งราคาดีที่สุด จบแล้วสำหรับตอนนี้แล้วพบกันใหม่ ตอนที่ 4 เข้าใจประเภทของ Ads ต่างๆก่อนที่จะเลือกใช้งาน ติดตามกันได้ครับผม :)


• แจก : คูปองส่วนลด 7% CODE : DEC63 (นำไปสั่งซื้อบนเว็บไซต์)
• โปรโมชั่นพิเศษ : ไม่ว่าสั่งทางเว็บไซต์หรือสั่งทาง Chat ก็รับส่วนลด 7% 1 ครั้งทุกๆเดือน ทัก Line เรามาขอสิทธิ์ได้เลย
• ตารางรวมราคาซองไปรษณีย์พลาสติก : (ดูตาราง) เราใช้ 🧡 บริการ :)
Dec. 13, 2020, 9 p.m.
Share : Facebook Google

ซองไปรษณีย์พลาสติก กล่องพัสดุ ถุงแก้วพลาสติก และอุปกรณ์แพ็คกิ้งอื่นๆ ในราคาส่ง