สินค้ารวม : 0 บาท ไปที่ตะกร้าสินค้า
โปรโมชั่น : ยอด 650 บาท ฟรีค่าจัดส่ง (ยกเว้นกล่อง)
มาถึงตอนที่ 4 ของ Series Google Ads หากท่านใดยังไม่ได้อ่าน ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3 ทางเราแนะนำให้ท่านไปอ่านเพื่อปูพื้นฐานก่อนเข้าตอนที่ 4 ก่อนครับ สำหรับตอนที่ 4 นับว่าเป็นหลักสำคัญที่คนทำ Ads ต่างก็มึนงง เพราะ Google Ads มีตัวเลือกให้เราตั้งกลยุทธ์มากถึง 11 ตัว ซึ่งแบบไหนจะเป็นที่เหมาะสมที่สุดที่เราควรจะเลือกใช้ ซึ่งแน่นอนว่า มันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการทำ Ads ของเรา ไม่มีกลยุทธ์ตัวไหนที่ดีที่สุด มีแต่เหมาะสมที่สุดเพราะฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกันเพื่อที่ท่านผู้่อ่านจะได้รู้ว่าแบบได้เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำ Ads ของท่านเอง
มาดูกันว่าทั้ง 11 กลยุทธ์การตั้งราคา Bid ของ Google Ads จะมีอะไรบ้างอัพเดทปี 2020-2021
จะเห็นได้ว่าทั้ง 11 ตัวเลือกแค่เห็นชื่อก็ชวนให้สับสนเอามากๆ ก่อนเราจะไปทำความรู้จักกับแต่ละกลยุทธ์เรามาดูวิธีการตั้งค่า Bid กันก่อนซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่รู้ต้องเข้าไปตั้งค่าที่ตรงไหน
อธิบาย : กลยุทธ์ Target Cost per Acquisition เป็นกลยุทธ์ที่เราจะตั้งค่าเมื่อเราตั้งการ Conversion มากที่สุดในงบประมาณที่เราตั้งไว้ โดย AI ของ Google จะพยายามหากลุ่มลูกค้าที่คาดว่าจะมี Conversion มากที่สุด ซึ่งการตั้งกลยุทธ์ดังกล่าวเราจะต้องให้ระบบของ Google เก็บข้อมูล Conversion บน Account ในช่วงหนึ่งก่อนถึงจะเหมาะสมที่จะต้องกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้
ยกตัวอย่างการใช้งาน : หากเราตั้งค่า 1 Conversion คือ 1 คำสั่งซื้อของเรา ซึ่งเรามีข้อมูลว่า 1 คำสั่งซื้อประมาณ 1,000 บาท และเราตั้งงบการตลาดที่ 100 บาทต่อ 1 คำสั่งซื้อ เราก็ตั้งค่าให้ Cost per Acquisition = 100 บาท ระบบของ Google จะคำนวณค่า Conversion ในต้นทุนดังกล่าวให้กับเรา
อธิบาย : กลยุทธ์ที่สองนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ชวนมึนงงกันเล็กน้อย การใส่ค่าของ Ads ชนิดนี้อาจจะต้องมีการคำนวณเล็กน้อย โดยกลยุทธ์นี้มีหลักการประมาณว่า สำหรับทุก 30 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับโฆษณา คุณจะตั้ง ROAS เป้าหมายเป็น 500% ซึ่งหมายความว่าสำหรับทุก 30 บาทที่คุณใช้จ่ายไปกับโฆษณา คุณต้องการที่จะได้รายได้เป็น 5 เท่า หรือถ้าพูดอย่างเข้าใจคือ จ่าย 30 บาท ได้ Return 150 บาท จากนั้นระบบของ Google Ads จะกําหนดราคา Cost per Click สูงสุดให้คุณโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มมูลค่า Conversion ให้ได้สูงสุด ขณะพยายามไปให้ถึง ROAS เป้าหมายที่ 500%
วิธีการคำนวณ ROAS : ยอดขาย ..ที่ต้องการ บาท ÷ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ..ที่เราวางเอาไว้.. บาท x 100% = ROAS x 100 จะเท่ากับเป้าหมายหน่วย %
อธิบาย : หลักการง่ายๆของกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ การตั้งค่าให้ระบบหาจำนวน Conversions มากที่สุด ภายใต้ Budget ที่กำหนดของแต่ละ Campaign ซึ่งทุกกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับ Conversion เราจำเป็นต้องแปะ Conversion Tracking Code ไปบนเว็บไซต์ของเราเสียก่อน
ยกตัวอย่างการใช้งาน : หลังจากที่เรา Run Ads โดยใช้กลยุทธ์ที่เน้นไปในทาง Click ช่วงเริ่มต้น ให้ระบบจะจับได้ว่าแต่ละวันเรามี Conversion เกิดขึ้น และเปลี่ยนกลยุทธ์ จนระบบมีข้อมูลแนะนำให้เราว่าหากเราเลือก หากต้องการให้มี Conversion 50 หน่วยต่อวัน เราควรที่จะต้องใช้งบเท่าไหร่
อธิบาย : ก่อนที่จะใช้กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ได้ เราจำเป็นต้องกำหนดว่า 1 Conversion เรามีมูลค่าเท่าไหร่ โดยหลักการของกลยุทธ์แบบดังกล่าวก็คือ การกำหนดไปว่า ให้ระบบของ Google เพิ่มมูลค่าต่อ 1 Conversion ตามที่เราได้กำหนดไว้ให้ได้
อธิบาย : โดยการจะตั้งค่ากลยุทธ์แบบ Enhanced CPC ระบบจะให้เราตั้งค่า Max Cost Per Click ซึ่งยกตัวอย่างหากเราตั้งไว้ที่ 50 บาท ในช่วงเวลาปกติ ต้นทุน Cost Per Click อาจจะแค่ 25 บาท แต่หากระบบจับสัญญาณได้ว่ามีบางช่วงเวลา มีบางสถานที่ เจอกลุ่มคนที่จะคลิก โดยการแสดง Ads ในที่นั้นหรือเวลาเราอาจจะไม่ได้เป็นที่ 1 (โอกาสคนคลิกน้อย) ระบบจะเพิ่มค่า Bid ขึ้นเพื่อให้เรามีโอกาสมากที่สุดในงบประมาณ Max ที่เราตั้งเอาไว้ให้มีตำแหน่งดี เพื่อมีโอกาสให้คนคลิกมากที่สุด
อธิบาย : การตั้งค่าแบบดังกล่าวจะเป็นวิธีการให้ระบบทำงานแบบ Automated Bidding โดยระบบจะทำการตั้งราคาที่ต่ำที่สุด เพื่อให้เกิดจำนวนคลิกเข้ามามากที่สุด โดยการตั้งค่ากลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ เราสามารถตั้ง Max Cost Per Click ได้เช่นกัน
อธิบาย : หลักการง่ายๆเลยของกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ การที่เราตั้งราคาที่เรายอมจ่ายต่อคลิก ซึ่งการใช้กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ ทางจำเป็นต้องมีข้อมูลการแข่งขันใน Keyword ของเรา จึงจะทำให้การใช้กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพดีที่สุด
อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads ซึ่งยกตัวอย่างง่ายๆว่า ใน 1000 การแสดง โฆษณา Video บน Youtube เราจะยอมจ่ายเท่าใด
อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads เช่นกัน ซึ่งยกตัวอย่างง่ายๆว่า ใน 1000 ยอดคนที่ดเกิน 2 วินาที ของโฆษณา Video บน Youtube เราจะยอมจ่ายเท่าใด
อธิบาย : กลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้เราจะเลือกในการใช้โฆษณาแบบ Display Ads ซึ่งเราจะกำหนดได้ว่า จะยอมจ่ายเท่าไหร่ต่อจำนวน 1 ผู้ชม Ads โฆษณา Video ของเรา
อธิบาย : หลักการของการเลือกกลยุทธ์แบบดังกล่าวนี้ก็คือ หากเรากำหนดค่า ที่ 90% ระบบก็จะพยายามแสดงโฆษณาเราใน Keyword นั้นๆให้ได้มากว่า 90% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งใน Keyword เดียวกัน
อธิบาย : ในหัวข้อนี้จะพาไปรู้จักวัตถุประสงค์ของการทำการตลาดซึ่งโดยกลุ่มใหญ่ๆจะประกอบไปด้วย Awareness (ช่วงดึงดูดความสนใจ) และช่วงที่สอง Consideration (ช่วงการพิจารณา สนใจซื้อ) และช่วงสุดท้ายคือ Conversion (มีการซื้อขายเกิดขึ้น) ซึ่งรูปกรวยหัวกลับก็คือในช่วงสนใจมีคนสนใจเข้ามาดูเยอะ และลดลงไปเรื่อยๆตามลำดับ ซึ่งการเลืิอกกลยุทธ์แต่ละตัวก็ควรที่จะให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงด้วย
อธิบาย : หนึ่งในเคล็ดลับที่จะทำให้เจอลูกค้าที่แปลงกลับมาเป็นยอดขายมากที่สุดก็คือการตั้งค่าเสริมเช่นตั้งเวลาที่ Ads แสดง, ตั้งว่าให้แสดงใน Device อะไร, หรือตั้งความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์บางกลยุทธ์อาจจะไม่สามารถทำให้เราตั้งค่าเสริมดังกล่าวได้ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ดังตารางข้างต้น
ข้อแนะนำ : นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของการทำ Ads เราที่เป็นตัวกำหนดว่าเราควรจะตั้งกลยุทธ์แบบใดแล้ว ช่วงเวลาก็สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มต้นเราจจะตั้งอีก 1 กลยุทธ์ พอระบบของ Google มีข้อมูลลูกค้าเราพอแล้วเราก็อาจจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ประสิทธิภาพของการตั้งราคาดีที่สุด จบแล้วสำหรับตอนนี้แล้วพบกันใหม่ ตอนที่ 4 เข้าใจประเภทของ Ads ต่างๆก่อนที่จะเลือกใช้งาน ติดตามกันได้ครับผม :)
© 2022, Dearly Commerce Co., Ltd. All Rights Reserved